รูปแบบการจัดตั้งบริษัทในจีนที่นักลงทุนต้องรู้

968 726 admin

รูปแบบการจัดตั้งบริษัทในจีนที่นักลงทุนต้องรู้

สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก เนื่องจากมีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยจะสังเกตว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นประเทศที่มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากที่สุด ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

FDI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากการที่จีนเปิดเสรีการค้า ทำให้ตลาดจีนกลายเป็นที่สนใจของนักลงทุน ด้วยขนาดเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ จึงกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นในสายตานักลงทุนต่างชาติ

การลงทุนในประเทศจีนมีหลายรูปแบบ อาจลงทุนผ่านวิสาหกิจประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด (WFOE) วิสาหกิจร่วมทุน (JV) หรือสำนักงานตัวแทน (RO) อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทในจีนถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ InterLoop มีประสบการณ์ที่จะช่วยเหลือนักลงทุนในการจดทะเบียนธุรกิจในประเทศจีนได้ เพราะเราสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับธุรกิจ ตรงกับความต้องการของลูกค้า และหาโซลูชั่นที่เหมาะสำหรับธุรกิจของคุณได้

 

ข้อดีของการลงทุนในจีน

การที่มีนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในจีนเป็นจำนวนมาก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่มีนัยสำคัญที่ทำให้จีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนได้อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้าสู่ตลาดจีน โดยการตั้งบริษัทในรูปแบบวิสาหกิจประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด (WFOE) วิสาหกิจร่วมทุน (JV) และสำนักงานตัวแทน (RO)

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จนทำให้จีนขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจ แต่ก็มีข้อเสียในส่วนของตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในด้านระบบกฎหมายและการบังคับใช้ ซึ่งหากไม่เข้าใจอาจจะเป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจได้ InterLoop จึงอยากช่วยวางโครงสร้างและหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับนักลงทุนได้ โดยวันที่ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นมา จีนได้ปฏิรูปกฎหมายธุรกิจใหม่ โดยแก้กฎหมายเดิมที่เก่าไป และไม่เอื้อต่อการลงทุน ให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น โดยหนึ่งในเรื่องสำคัญคือ การกำหนดโครงสร้างของบริษัท ให้มีกรรมการและผู้ถือหุ้นมีอำนาจในการจัดการภายในบริษัท

โดยสรุปกฎหมายธุรกิจฉบับใหม่ รัฐบาลจีนได้ปฏิรูปให้มีความทันสมัย มีความยืดหยุ่นในมากยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการให้เป็นธรรมและโปร่งใส การประกอบธุรกิจในจีน นักลงทุนจะต้องเข้าใจกรอบกฎหมายอย่างถี่ถ้วน การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ รัฐบาลจีนอนุญาตให้นักลงทุนจดทะเบียนตั้งบริษัทผ่านรูปแบบต่าง ๆ ประกอบด้วย WFOE, JV และ RO อย่างไรก็ตามนอกจากการลงทุนในจีนแล้ว สิ่งที่ InterLoop อยากแนะนำคือ ฮ่องกงเป็นอีกหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญของการทำธุรกิจในจีน เพราะจะช่วยบริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้

 

วิสาหกิจประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด (WFOE)

วิสาหกิจประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด ถือเป็นรูปแบบที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักนิยมใช้ เนื่องจากเป็นรูปแบบการก่อตั้งบริษัทที่มาจากเงินทุนต่างประเทศทั้งสิ้น ซึ่งเดิมนั้นรูปแบบ WFOE จะใช้เฉพาะธุรกิจเทคโนโลยี เพื่อช่วยการส่งออกของประเทศตะวันตก แต่ปัจจุบันรูปแบบการจัดตั้งบริษัทประเภทนี้ถูกใช้ในอุตสาหกรรมที่กว้างขวางขึ้น ในธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจให้คำปรึกษา และการบริการบริหารจัดการธุรกิจ การพัฒนาซอฟต์แวร์ การค้าขาย เป็นต้น

เงื่อนไขเพิ่มเติมของการจดทะเบียนตั้งบริษัท WFOE นักลงทุนสามารถส่งกำไรจากการทำธุรกิจ กลับประเทศของนักลงทุนได้ แต่ธุรกิจของคุณต้องมีทุนจดทะเบียนและต้องชำระภาษีให้กับรัฐบาล

 

สิทธิประโยชน์จากการลงทุนแบบ WFOE มีดังนี้
  • อิสระในการตัดสินใจภายในบริษัท เนื่องจากไม่ต้องคำนึงการมีส่วนร่วมของหุ้นส่วนชาวจีน
  • สามารถดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการ ได้มากกว่ารูปแบบสำนักงานตัวแทน
  • สามารถแปลงผลกำไรเป็นสกุลเงินประเทศของนักลงทุนได้ นอกประเทศจีน
  • การให้ความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
  • ไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตนำเข้า-ส่งออก
  • ไม่มีเงื่อนไขด้านเวลาเป็นข้อบังคับ เหมือนกับการตั้งสำนักงานตัวแทนที่ระบุไว้ว่าจะต้องทำธุรกิจในจีนก่อนอย่างน้อย 2 ปี

 

การตั้งสำนักงานตัวแทน (RO)

รูปแบบสำนักงานตัวแทนเป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำความเข้าใจกับตลาดจีนก่อนจะเข้าลงทุนจริงๆ โดยวัตถุประสงค์หลักของรูปแบบธุรกิจประเภทนี้คือ เป็นช่องทางการประสานงานระหว่างสำนักงานใหญ่ (จากประเทศเดิม) กับสาขาในจีน ดังนั้นรูปแบบของ RO นั้นจึงไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคล แต่เป็นสาขาย่อยของสาขาแม่ นักลงทุนจึงทำได้แค่เพียงการวิจัยตลาด และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการทำที่ไม่แสวงหากำไรเท่านั้น

ขอบเขตของสำนักงานตัวแทน มีดังนี้

  • ดำเนินการวิจัย-ให้ข้อมูล แก่ลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทแม่
  • วิจัยข้อมูลตลาดท้องถิ่น หรือตลาดจีนให้กับบริษัทแม่
  • ติดต่อประสานงานกับพนักงานท้องถิ่นในจีน
  • ประสานงานกับบริษัทแม่
  • จัดเตรียมการเดินทางให้กับตัวแทนบริษัทที่อยู่ในจีน

อย่างไรก็ตามเงื่อนไขของ RO จะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมที่แสวงหากำไร หรือรับค่าธรรมเนียมการให้บริการ ตลอดจนการลงนามในสัญญาแทนบริษัทแม่ เนื่องจากสำนักงานตัวแทนทำได้แค่วิจัยตลาดเท่านั้น

 

สิทธิประโยชน์จากการตั้งสำนักงานตัวแทน
  • บริษัทศึกษาตลาดอย่างละเอียด ก่อนจะเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่อย่างจริงจัง
  • ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการประชาสัมพันธ์แบรนด์หรือสินค้าให้เป็นที่รู้จักในตลาดจีนมากขึ้น
  • แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะลงทุนในจีนระยะยาว ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระหว่างคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจได้

 

วิสาหกิจร่วมทุน  (JV)

การจดทะเบียนบริษัทรูปแบบ JV นี้ จะเป็นการร่วมทุนระหว่างนักลงทุนต่างชาติกับนักลงทุนชาวจีน เนื่องจากมีบางธุรกิจที่มีข้อจำกัดทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่สามารถประกอบธุรกิจรูปแบบ WFOE ได้ เช่น ธุรกิจการดูแลสุขภาพ ธุรกิจการศึกษา

ขณะเดียวกันบริษัททั่ว ๆ ไปอาจจะเลือกรูปแบบ JV ก็ได้เช่นกัน แม้จะไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่มีข้อจำกัด จากสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการร่วมลงทุน ซึ่งอาจจะเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่า หรือมีขั้นตอนการทำธุรกิจที่สะดวกกับแนวทางของบริษัท โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะตกลงการทำงานร่วมกัน รับผิดชอบค่าใช่จ่ายและแบ่งผลกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น

ข้อดีของการ Joint Venture มีดังนี้
  • JV อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงธุรกิจที่มีข้อจำกัดได้
  • สามารถเข้าถึงวิธีการหรือผู้บริโภคได้มากกว่า ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการประกอบธุรกิจได้มาก จากการไม่เข้าใจตลาดได้ เนื่องจากผู้ประกอบการท้องถิ่นจะมีความเชี่ยวชาญ หรือมีช่องทางที่ดีกว่านักลงทุนต่างชาติอยู่แล้ว
  • มีต้นทุนค่าแรงต่ำ เนื่องจากมีพาร์ทเนอร์ชาวจีน จึงมีโอกาสที่ธุรกิจจะมีส่วนแบ่งในตลาดมากยิ่งขึ้น
การจดทะเบียนตั้งบริษัทในฮ่องกง (SPV)

การลงทุนในฮ่องกงถือเป็นรูปแบบการลงทุนในนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าการเป็น Hong Kong Company นั้นจะไม่ใช่นิติบุคคลในประเทศจีนโดยตรง แต่การตั้งบริษัทในฮ่องกงมีความได้เปรียบในด้านการจัดเก็บภาษี ทั้งยังเป็นการเข้าลงทุนในจีนได้ง่ายขึ้น นักลงทุนจากยุโรปและอเมริกาเหนือจึงมักเลือกใช้วิธีนี้เป็นส่วนใหญ่

 

สิทธิประโยชน์จากการตั้งบริษัทในฮ่องกง
  • ฮ่องกงเป็นประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่
  • ฮ่องกงเป็น 1 ใน 20 ประเทศที่โดดเด่นด้านการค้า และเป็นศูนย์กลางทางการเงินใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ดังนั้นการประกอบธุรกิจในฮ่องกงจึงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทที่เข้าไปลงทุนได้
  • เอกสารราชการของฮ่องกงใช้ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ จึงสะดวกกับนักลงทุน หากต้องติดต่อกับทางการจีน
  • ฮ่องกงลดภาษีให้กับนักลงทุนต่างชาติ ในธุกิจนอกชายฝั่ง (Offshore) กับ WFOE ในประเทศจีน
  • ฮ่องกงไม่มีข้อจำกัดด้านอัตราแลกเปลี่ยน และการโอนเงินเข้าออกประเทศ
  • การพิจารณาปรับโครงสร้างของบริษัทรวดเร็วกว่า เช่น การจัดสรรหุ้นใหม่ในจีน อาจจะใช้เวลาถึง 2 เดือน แต่การดำเนินการในฮ่องกงใช้เวลาแค่ 1 สัปดาห์เท่านั้น

Leave a Reply

Your email address will not be published.