นโยบายส่งเสริมการลงทุน สำหรับกิจการโรงแรม
ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมการบริการ โดยในส่วนการจัดการโรงแรม การท่องเที่ยวและการขายอาหารและเครื่องดื่ม ในภาคผนวก 3 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนั้น ได้ระบุว่าธุรกิจดังกล่าว เป็นธุรกิจที่คนไทยไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขัน เพราะฉะนั้นนักลงทุนต่างชาติที่ทำธุรกิจโรงแรมจะต้องมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือ FBL เพื่อเป็นหลักฐานในการทำธุรกิจในประเทศไทย
และแม้ว่าจะมีกรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน หรือ ASEAN Framework Agreement on Services (AFAS) ระบุว่าสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนามหรือบริษัทที่มีสถานะเป็น ASEAN companies (จากการที่มีผู้อำนวยการบริษัทเป็นชาวอาเซียน) สามารถถือหุ้นได้ถึง 70% ในธุรกิจโรงแรมที่เป็นระดับ superior deluxe หรือหกดาวขึ้นไป ก็ไม่สามารถใช้ได้กับการกำกับดูแลของภาครัฐ
ดังนั้นหากนักลงทุนสนใจลงทุนในกิจการโรงแรม จะต้องยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ เนื่องจากกฎหมายการลงทุนระบุว่า นักลงทุนจะไม่สามารถใช้สิทธิต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการได้ หากการยื่นขอการส่งเสริมการลงทุน ไม่ได้รับอนุญาตจากบีโอไอ
โดยนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ มีเพื่อช่วยการเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศ ทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) การพัฒนาด้านนวัตกรรม การเพิ่มมูลค่าให้กับภาคบริการ ตลอดจนการส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงานหรือพลังงานทางเลือก ที่ส่งเสริมการเติบโตแบบยั่งยืน
กิจการโรงแรมจัดเป็นประเภทกิจการที่ให้ส่งเสริมการลงทุน หมวด 7 กิจการบริการและสาธารณูปโภค โดยในหมวดย่อยข้อที่ 7.23 เป็นการส่งเสริมกิจการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ประกอบด้วย กิจการโรงแรม กิจการหอประชุมขนาดใหญ่ กิจการศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ และกิจการฟื้นฟูสุขภาพ
โดยใบอนุญาตนี้จะถือว่าเป็นการยกเลิกใบอนุญาตประกอบธุรกิจของบริษัทต่างประเทศ (Foreign Investment Certificate ;FBC) เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2558 โดยกิจการสถานฝึกฝนวิชาชีพด้านโรงแรมอาจจะไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามกิจการสถานฝึกฝนวิชาชีพด้านโรงแรม จะต้องมีนักเรียนในคอร์สไม่น้อยกว่า 50% ของจำนวนนักเรียนอาชีวศึกษา ตามที่ระบุไว้ในข้อ 7.19.1 เรื่องกิจการสถานฝึกฝนวิชาชีพ
เงื่อนไขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน
ตามเงื่อนไขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ในกิจการโรงแรมนั้น บีโอไอระบุว่าโครงการลงทุนจะต้องประกอบด้วย 1 ใน 3 เงื่อนไข ดังนี้
- ต้องมีห้องพักไม่น้อยกว่า 100 ห้อง
- ต้องมีเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท
- เงื่อนไขอื่นตามที่บีโอไอกำหนด (ซึ่งไม่ได้ระบุไว้)
ทั้งนี้ในแต่ละโครงการจะต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้ในเงื่อนไขใหม่กำหนดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) จะต้องไม่เกิน 3:1 ทั้งนี้หากเป็นโครงการขยายการลงทุน ทางบีโอไอจะพิจารณาเป็นรายโครงการ อย่างไรก็ตามโครงการลงทุนประเภทกิจการโรงแรม สามารถลงทุนได้มากกว่า 750 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ซึ่งจะต้องส่งแผนศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโดยเฉพาะ
และตามข้อกำหนดทั่วไปของการส่งเสริมการลงทุน ระบุว่ามูลค่าของโครงการลงทุนประเภทกิจการโรงแรม จะต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 20% ของรายได้ และมีการใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์ รวมถึงขั้นตอนการดำเนินงานที่ทันสมัย รวมถึงมีเงินลงทุนในโครงการ 10 ล้านบาทขึ้นไป (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ทั้งนี้จะต้องผ่านการรับรอง ISO 9000 หรือ ISO 14000 หรือมาตรฐานอื่นๆ ในระดับสากลที่มีมาตรฐานใกล้เคียงกัน ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่มี Operation เต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ธุรกิจจะต้องมีมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อมด้วย โดยผู้ประกอบธุรกิจจะต้องยื่นขอรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อหน่วยงานราชการด้วย ตามกฎหมายว่าด้วยการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่บังคับให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมจะต้องยื่นขอ EIA ก่อนเริ่มโครงการ
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่านโยบายการส่งเสริมการลงทุนนี้ เป็นการดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ นอกจากนี้แล้วยังมีมาตรการอื่น ๆ รองรับการลงทุนอีกเช่นกัน โดยผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ในการทรานเฟอร์บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
ประเภทและขอบเขตการส่งเสริมการลงทุนกิจการโรงแรม
ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิและประโยชน์ ในกรณีที่ตั้งสถานประกอบการในเขตส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 20 จังหวัด ประกอบด้วย กาฬสิทธุ์ ชัยภูมิ นครพนม น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สระแก้ว สุโขทัย สุรินทร์ หนองบัวลำภู อุบลราชธานีและอำนาจเจริญ โดยจะได้รับการส่งเสริมการลงทุนระดับ A4
และหากสถานการประกอบการตั้งอยู่ในจังหวัดอื่น ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 20 จังหวัดดังกล่าว จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนในระดับ B2 เท่านั้น ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์น้อยกว่า
สิทธิประโยชน์ในด้านการลงทุน A4 และ B2 มีรายละเอียด ดังนี้
สิทธิประโยชน์ตามประเภทกิจการในระดับ A4
- ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ซึ่งคิดเป็น 100% ของการลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน)
- ยกเว้นอากรเครื่องจักร
- ยกเว้นการนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้าส่งออก เป็นเวลา 1 ปี (ทั้งนี้สามารถขยายระยะเวลาได้ ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของบีโอไอ)
- ยกเว้นวัตถุดิบ Non-tax
สิทธิประโยชน์ตามประเภทกิจการในระดับ B2
- ยกเว้นการนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้าส่งออก ตามเงื่อนไขกิจการส่งเสริมการลงทุน หมวด 7 เป็นเวลา 1 ปี (ทั้งนี้สามารถขยายระยะเวลาได้ ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของบีโอไอ)
- ยกเว้นวัตถุดิบ Non-tax
และนอกจากสิทธิประโยชน์ข้างต้นแล้ว ยังมีสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่ผู้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน ประเภทกิจการโรงแรมจะได้รับ ประกอบด้วย
- ออกใบอนุญาตการทำงานให้กับชาวต่างชาติที่มีทักษะสูงหรือมีความชำนาญเฉพาะทาง
- อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดินในธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
- อนุญาตให้ส่งเงินออกนอกประเทศไทย เป็นสกุลเงินต่างประเทศได้
เพราะฉะนั้นแม้จะมีข้อจำกัดในตอนต้น แต่หากยื่นขอรับการส่งเสริมฯ ด้วยเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุน จะทำให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นในกิจการโรงแรมได้ 100% ตามที่บีโอไอประกาศ
สุดท้ายกฎหมายเบื้องต้น 10 ประการ สำหรับการครอบครองสิทธิ์กิจการโรงแรม ที่ควรต้องรู้ มีดังนี้
- ชื่อโรงแรม จำนวนห้อง และเครื่องหมายการค้า
- ข้อมูลนิติบุคคล และประวัติของผู้ถือหุ้น
- วันที่ครอบครองสิทธิ์ที่ดิน โฉนดที่ดิน สัญญาและทะเบียนบ้าน
- ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ซึ่งจะต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับห้องแม่บ้าน ห้องพักสำหรับแขก สระว่ายน้ำ และอื่น ๆ
- รายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (กรณีมีห้องพัก 80 ห้องขึ้นไป)
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหาร ห้องสัมมนา หรือธุรกิจ Entertainment (ต้องระบุวันหมดสัญญาด้วย)
- ใบอนุญาตจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ (ในประเทศและนำเข้า)
- ข้อตกลงโรงแรมและข้อตกลงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ข้อตกลงด้านการทำการตลาด กับเอเจนซี่หรือซอฟท์แวร์จำหน่ายห้องพัก เช่น Agoda , Amadeus หรือใบอนุญาตการใช้โปรแกรม Fidelio เป็นต้น
10.ข้อตกลงการค้าอื่น ๆ เช่น การบำรุงรักษา การทำความสะอาด เป็นต้น
Leave a Reply