การลงทุนในต่างประเทศของผู้ประกอบการรายย่อยหรือวิสาหกิจเชิงพาณิชย์ ย่อมต้องรู้จักโมเดล FICE อยู่แล้ว ซึ่ง FICE โมเดลนี้มีไอเดียต้นแบบมาจากจีน จากการขายสินค้าในตลาดผู้บริโภค โดยโครงสร้างธุรกิจ อาจจะเป็นการร่วมทุน (JV) หรือต่างชาติเป็นเจ้าของธุรกิจทั้งหมด (WFOE) ก็ได้ เจ้าโมเดลนี้จึงเป็นทางเลือกของนักลงทุนต่างชาติอีกทางเลือกหนึ่ง
อย่างไรก็ตามขอบเขตการทำธุรกิจแบบ FICE โมเดล จะไม่เหมือนกับขอบเขตการลงทุนของต่างชาติทั่ว ๆ ไป แต่จะเป็นการค้าขายแบบขายปลีก (retail) แฟรนไชส์ และแบบเทรดดิ้ง ซึ่งหมายถึงว่าผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงกิจกรรมทางธุรกิจให้รอบคอบ และเลือกประเภทธุรกิจให้ถูก เพราะนี่คือสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ต้องเข้าใจ ในการทำธุรกิจโดยใช้โมเดลนี้
เริ่มต้นทำธุรกิจในจีนแบบ FICE ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
สำหรับกรอบการทำธุรกิจแบบ FICE จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย เงื่อนไขของ WFOE หรือเงื่อนไขของการ JV เองก็ดี ซึ่งมีเงื่อนไขดังนี้
- การร่วมทุนของนักลงทุนที่ไม่ใช่คนจีนในจีน ในรูปแบบการถือหุ้นส่วน
- การร่วมทุนของนักลงทุนที่ไม่ใช่คนจีนในจีน ในรูปแบบการเป็นเจ้าของร่วมกัน
- การร่วมทุนของนักลงทุนที่ไม่ใช่คนจีนในจีน ในรูปแบบที่ต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด
อย่างไรก็ตามกฎหมายธุรกิจใหม่ของนักลงทุนต่างชาติ เริ่มใช้เมื่อ 1 มกราคม 2563 โดยในกฎหมายฉบับดังกล่าว จะประกอบไปด้วย กฎหมายบริษัท กฎหมายสำหรับห้างหุ้นส่วนหรือพันธมิตรทางธุรกิจ และกฎหมายสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย สำหรับนักลงทุนในประเทศจีน
โดยกฎหมายสำหรับวิสาหกิจหรือรายย่อย (FIE) มีผลก่อนที่กฎหมายการลงทุนใหม่ (FIL) จะมีผลบังคับใช้ใน 5 ปีนับจากวันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งในรายละเอียดนักลงทุนต่างชาติจะต้องดูเรื่องลิสต์ข้อห้าม (Negative List) ให้ดี ๆ ว่ามีเซ็คเตอร์ไหนบ้างที่ห้ามนักลงทุนต่างชาติลงทุนในจีน อย่างไรก็ตามสาระสำคัญหลักในเนื้อกฎหมายอาจจะคล้ายกับของเดิม เพราะฉะนั้นนักลงทุนสามารถดูได้จากกฎหมายการลงทุนในปี 2561 และ 2562 ไว้เป็นแนวทางสำหรับการลงทุนก่อนก็ได้
ขอบเขตการทำธุรกิจ
การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในจีน จะต้องรู้ขอบเขตการทำธุรกิจ หรือ ‘business scope’ เพื่อจะได้โฟกัสที่ผลิตภัณฑ์ คุณภาพของการผลิต โดยสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติ WFOE หรือนักลงทุนจีนเองต้องเจอ นั่นก็คือ หากเลือกลงทุนโดยใช้โมเดลนี้ จะมีแรงกดดันที่ถูกล้อมจากการค้าและบริการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รูปแบบสำคัญของโมเดลการค้าแบบ FICE จะแยกออกเป็น
- การขายปลีก (ออนไลน์และออฟไลน์) – ขายสินค้าและบริการในรูปแบบปัจเจกบุคคล หรือการทำการตลาดเฉพาะบุคคล เพราะลูกค้าแต่ละรายมีความชอบหรือมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ โทรศัพท์ อีเมล อินเทอร์เน็ตหรือเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ
- การขายส่ง – การขายสินค้าและบริการในปริมากมาก จากบริษัทถึงลูกค้ารายใหญ่หรือองค์กร
- การขายสินค้าผ่านตัวแทน – ผ่านดีลเลอร์ เช่น ผ่านเอเจนซี่ โบรกเกอร์ หรือผู้ค้าส่ง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้า
- การทำแฟรนไชส์ – เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก โดยจะมีการทำสัญญากับคู่ค้าแฟรนไชส์ (ตัวบริษัทจะได้รับรายได้จากค่าแฟรนไชส์)
- การส่งออกและนำเข้า – มีเฉพาะธุรกิจที่มีใบอนุญาตเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม FICE โมเดล จะมีค่าใช้จ่ายจิปาถะ เช่น ค่าแวร์เฮ้าส์ ค่าบริหารคลังสินค้า การซ่อมบำรุง การเทรนนิ่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายจาการเดลิเวอรี่ เป็นต้น ซึ่งหากมีการเปลี่ยนสโคปการทำธุรกิจ ก็จะยิ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น การวางแผนและกำหนดขอบเขตธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ ซึ่งนอกจากจะเอื้อต่อเป้าหมายทางธุรกิจแล้ว จะมีผลกับการที่ตั้งสถานประกอบการ ประเภทใบอนุญาต และการอนุญาตการประกอบธุรกิจจากทางการจีน
เมื่อไหร่ที่ควรเลือกทำธุรกิจแบบ FICE Model
โครงสร้างการทำธุรกิจแบบ FICE เป็นธุรกิจที่ต้องทำหน้างาน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจ การจ้างงานทั้งพนักงานที่เป็นคนจีนและชาวต่างชาติ รวมถึงการติดต่อกับซัพพลายเออร์ท้องถิ่น หรือแม้กระทั้งในด้านการเงิน ที่จะต้องทำธุรกรรมเป็นเงินหยวน การออกใบเสร็จและใบกำกับภาษี (fapiaos) แต่ทั้งนี้ระบบการทำธุรกิจแบบ FICE จะทำให้บริหารจัดการสาขาได้ทั้งหมด หากสาขาเหล่านั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่กว่าบริษัทแม่
ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของธุรกิจจะทำกำไรได้ดี หรือไม่มีข้อจำกัดของผลประกอบการ หากสามารถเคลียร์เงื่อนไข ดังต่อไปนี้ได้
- ใช้เวลาก่อตั้งธุรกิจหลายเดือนก่อนที่จะเริ่มดำเนินธุรกิจ (โดยทั่วไป 4-6 เดือน)
- ส่งออกและมีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ซับซ้อน
- แยกสัญญาสำหรับการนำเข้า-ส่งออก
- กำหนดประเภทสินค้าให้เหมาะกับช่องทางการจำหน่าย
กระบวนการทำธุรกิจ
และเมื่อนักลงทุนต่างชาติเลือกว่าการทำธุรกิจแบบ FICE คือช้อยส์ที่ดีที่สุดหรือมีความเหมาะสมกับบริษัทของตัวเองแล้ว การก่อตั้งบริษัทให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีที่ปรึกษาทางธุรกิจคอยให้คำแนะนำ วิเคราะห์ความเสี่ยง หรือความยุ่งยากซับซ้อนเกิดขึ้นจากการเริ่มลงทุนในต่างประเทศ ก็เป็นการวางแผนที่รอบคอบ
เพราะนอกจากการทำธุรกิจในจีนจะต้องดำเนินการเองแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการออกเครื่องหมายการค้า การเลือกธนาคารท้องถิ่น สำหรับใช้ประกอบธุรกรรมทางการเงิน ค่าใช้จ่ายด้านภาษีการจัดตั้งบริษัท ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการทั้งนั้น การมีที่ปรึกษาที่ดูแลได้ครอบคลุมทุกเรื่อง ถือเป็นการวางแผนที่ดีอย่างหนึ่ง สำหรับนักลงทุนที่อยากไปลงทุนในจีนด้วยตัวเอง
สำหรับท่านใดที่สนใจจัดตั้งบริษัทที่ประเทศจีน สามารถติดต่อปรึกษาได้ที่บริษัท InterLoop Solutions & Consultancy Co.,Ltd. โทร 097-106-9113 ID Line: @inlps
Leave a Reply