นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้ดึงดูดมากยิ่งขึ้น โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
- เพิ่มประเภทกิจการเป้าหมายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ได้แก่ กิจการในกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5-8 ปี ตามสิทธิพื้นฐานเกือบทุกประเภท ยกเว้นกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการชัดเจน (เช่น บริการขนส่งทางอากาศและบริการขนส่งทางทะเล เป็นต้น) หรือกิจการที่มีเงื่อนไขบังคับเรื่องที่ตั้งสถานประกอบการซึ่งไม่อยู่ใน 3 จังหวัด EEC เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) และ 20 จังหวัดที่มีรายได้น้อย
- ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม (ได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติม 3 ปี หรือได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 2 ปี) สำหรับโครงการลงทุนในกิจกรรมเป้าหมายที่ตั้งอยู่ใน EEC ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากร เช่น โครงการ Work-integrated Learning (WiL) สหกิจศึกษาและทวิภาคี นอกจากนี้ยังให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม (ได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติม 2 ปี หรือได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 1 ปี) สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EECi EECd EECa และ EECmd รวมถึงนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม
มาตรการนี้ให้มีผลบังคับใช้สำหรับคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2563 จนถึงสิ้นปี 2564 ยกเว้นโครงการที่จะตั้งในเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ 4 แห่ง (EECi EECd EECa และ EECmd) สามารถยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการนี้ได้โดยไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในการยื่นคำขอ
สำนักงาน EEC พร้อมให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแบบ BOI สำหรับนักลงทุน SEZ
สำนักงาน EEC เตรียมมอบสิทธิพิเศษโดยตรงให้กับนักลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษในสามจังหวัดของ EEC ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงาน EEC กล่าวว่าตามมาตรา 59 ของ พ.ร.บ. EEC คณะกรรมการนโยบาย EEC สามารถให้สิทธิพิเศษได้เทียบเท่ากับ BOI การลงทุนที่มีสิทธิ์จะต้องอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายและตั้งอยู่ในเขตส่งเสริมพิเศษใน 3 จังหวัดของ EEC เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) และศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์พัทยา (EECmd)
EEC เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ โดยมีพื้นที่ครอบคลุมจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง EEC มี 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล การแพทย์ครบวงจร การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา และการป้องกันประเทศ รัฐบาลประเมินมูลค่าการลงทุนจริงในพื้นที่ 3 แสนล้านบาทต่อปี
ดร.คณิศ กล่าวว่าหน่วยงานมีอำนาจในการเสนอการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลาแปดปีและลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติม 5 ปีตามที่ BOI เสนอในปัจจุบัน ทางหน่วยงานได้จัดทำกิจกรรมเพื่อดึงดูดนักลงทุนในช่วงที่มีการแพร่ระบาด และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการจัดวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับทูตไทยในประเทศเป้าหมาย เพื่อขอให้ช่วยดึงดูดบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนใน EEC มากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G โลจิสติกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพ และเมืองอัจฉริยะ
“หน่วยงานไม่มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการแพร่ระบาด เนื่องจากขณะนี้นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังตัดสินใจที่จะลงทุนในระยะยาว” นายคณิตกล่าว เขาคาดการณ์การลงทุนจริงมูลค่า 7 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ส่วนใหญ่มาจากโครงสร้างพื้นฐานหลัก 4 โครงการของ EEC ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบินหลัก 3 แห่ง รันเวย์ที่สองของสนามบินอู่ตะเภา ระยะที่สามของท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามสัญญาการลงทุนในเดือนสิงหาคมนี้
สำนักงาน EEC มีกำหนดยื่นข้อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย EEC ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในเดือนนี้ เพื่อให้ความเห็นชอบในหลักการพัฒนาโครงการเมืองอัจฉริยะ ซึ่งทางหน่วยงานจำเป็นต้องเร่งพัฒนาเพื่อรับมือกับความต้องการของประชากร 1 ล้านคนที่จะเพิ่มขึ้นในพื้นที่ EEC ในช่วง 15-20 ปีข้างหน้า
สำนักงานยังได้ดำเนินโครงการฝึกอบรมเพื่อยกระดับทรัพยากรบุคคลเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนใน EEC และร่วมมือกับบริษัทเอกชนในพื้นที่จัดฝึกอบรมเพื่อยกระดับแรงงานที่มีทักษะจำนวน 7,000 คน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์
โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
โครงการ EEC คาดว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตในพื้นที่และดึงดูดนักลงทุนซึ่งอาจกำลังมองไปยังตลาดเกิดใหม่อื่น เช่น เวียดนามหรือเมียนมาร์ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โครงการ EEC จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากจะเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศไทย
โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในรายการพัฒนาของ EEC ได้แก่ :
- การขยายสนามบินอู่ตะเภา (7100 ล้านเหรียญสหรัฐ)
- การขยายท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด (330 ล้านเหรียญสหรัฐ)
- ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง (1100 ล้านเหรียญสหรัฐ)
- รถไฟทางคู่ (2100 ล้านเหรียญสหรัฐ)
- รถไฟความเร็วสูง (2100 ล้านเหรียญสหรัฐ)
- มอเตอร์เวย์ (1100 ล้านเหรียญสหรัฐ)
โครงการทั้งหมดนี้จะต้องผ่านขั้นตอนของซัพพลายเชนและการก่อสร้างซึ่งจะเป็นที่สนใจของอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ BOI ตั้งเป้าที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ต่อไปเนื่องจากจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่ทศวรรษหน้า การลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมนี้รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ EEC คาดว่าจะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อ GDP และเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ
หากประสบความสำเร็จจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 โมเดลเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสังคม และความยั่งยืน ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว 20 ปี โดยประเทศไทยสามารถใช้โอกาสจากวิกฤตด้านสุขภาพของทั่วโลกในปัจจุบันในการดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการย้ายที่ตั้งหรือปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน
InterLoop เราพร้อมให้ความช่วยเหลือนักลงทุนในทุก ๆ ขั้นตอน ในด้านการขอยื่น BOI ท่านสามารถติดต่อได้ที่ Line ID: @inlps และ เบอร์โทรศัพท์: 097-106-9113
Leave a Reply